พระคัมภีร์บันทึกว่า มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นในกิลกาล และมีผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกๆ คน รวมถึงผู้เผยพระวจนะ โดยเฉพาะในเมืองกิลกาลซึ่งน่าจะมีโรงเรียนสอนการเป็นผู้เผยพระวจนะอยู่ (ดู 2 พงศ์กษัตริย์ 2:1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ 6:1-7 ประกอบ) เอลีชาบอกให้เกหะซีตั้งหม้อเพื่อต้มข้าวเลี้ยงผู้เผยพระวจนะจำนวน 100 คน (ข้อ 43) และมีผู้เผยพระวจนะบางคนได้ไปเก็บน้ำเต้าป่ามาใส่ในหม้อโดยไม่รู้ว่า น้ำเต้านั้นมีพิษ ในขณะเดียวกันก็มีคนนำขนมปังบารลี 20 ก้อน และข้าวใหม่ ซึ่งไม่น่าจะมาก (จากข้าวหนึ่งฟ่อน ดูเลวีนิติ 23:10 ประกอบ) ซึ่งไม่เพียงพอต่อคน 100 คน

Q1  เอลีชาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับทั้ง 2 ปัญหาอย่างไร ทั้งอาหารที่เป็นพิษในหม้อ และ ขนมปังและข้าวที่คนเอามาให้มีจำนวนน้อยนิด? และผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร? (ดูข้อ 41, 43-44 ประกอบ)
Q2  สิ่งที่เอลีชากระทำ และพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” สดุดี 23:1 ช่วยให้คุณเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในการดูแลของพระเจ้าอย่างไร?

ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ เรื่องราวของหญิงชาวชูเนม กับเรื่องราวของหญิงชาวศาเรฟัทมีความคล้ายคลึงกันมา เพราะอยู่มาวันหนึ่งลูกของหญิงชาวชูเนมเสียชีวิตกะทันหัน นางจึงนำร่างของลูกชายไปนอนที่ห้องที่สร้างให้เอลีชาพัก ส่วนตัวนางเดินทางไปหาเอลีชาที่ภูเขาคารเมล ทันทีที่เอลีชาเห็นนางก็รู้ว่า มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น โดยท่านได้พูดว่า “เพราะนางมีใจทุกข์หนัก และพระเจ้าทรงซ่อนเรื่องนี้จากฉัน

Q1  ทันทีที่เอลีชารู้ว่า ลูกของหญิงชาวชูเนมเสียชีวิตแล้ว ท่านตอบสนองต่อคำร้องขอของหญิงชาวชูเนม อย่างไร? (ดูข้อ 29, 30, 32-35 ประกอบ)
Q2  จากสิ่งที่เอลีชาได้กระทำ และพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ลูกา 1:37 เป็นกำลังใจและหนุนใจคุณในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่มีอยู่อย่างไร?

พระเจ้าทรงใช้หญิงม่ายชาวศาเรฟัทในการดูแลเอลียาห์ (1 พงศ์กษัตริย์ 17:8-24) พระองค์ทรงเลี้ยงดูเอลีชาด้วยรูปแบบเดียวกันคือ พระองค์ทรงใช้หญิงชาวชูเนมคนหนึ่ง โดยหญิงคนนี้ได้ทำห้องพัก ซึ่งมีเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้สำหรับเอลีชาในเวลาที่ท่านเดินทางผ่านมาที่เมืองชูเนม(ด้วยความเห็นชอบและสนับสนุนจากสามี)

Q1  เอลีชาเห็นถึงความมีน้ำใจของหญิงชาวชูเนม จึงเรียกเกหะซีคนใช้ของท่านมาพูดคุยว่า จะทำอะไรเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของหญิงชาวชูเนม ซึ่งเกหะซีได้แนะนำเอลีชาอย่างไร? และผลเป็นอย่างไร? (ดูข้อ 14-17 ประกอบ)
Q2  สิ่งที่หญิงชูเนมทำ เหมือนกับสิ่งที่พระเยซูสอนไว้ในมัทธิว 25:40 ที่ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” คุณจะนำแบบอย่างจากชีวิตของหญิงชาวชูเนม และคำสอนของพระเยซูไปใช้ในการห่วงใยและดูแลผู้ที่ขัดสน และต้องการความช่วยเหลืออย่างไร?

หญิงม่าย และลูกกำพร้าในแผ่นดินอิสราเอลเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เพราะชีวิตของผู้หญิงหลังจากที่แต่งงานแล้ว ชีวิตของเธอฝากไว้กับสามี เพราะมีเพียงผู้ชายเท่านั้นมีสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดิน และทรัพย์สินต่างๆ ดังนั้นเมื่อสามีเสียชีวิต หญิงม่ายและลูกกำพร้าถ้าไม่มีใครในครอบครัวของสามีมารับช่วงดูแลต่อ ชีวิตของเธอจะยากลำบากมาก จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ต้องอาศัยการเก็บข้าวที่ตกในนา หรือผลไม้ที่ตกหล่นในสวน หรือไม่ก็ขอทานจากผู้คน และในเหตุการณ์ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสาร เพราะหญิงม่ายที่มีปัญหาคือ ภรรยาของผู้เผยพระวจนะ (ผู้รับใช้ของพระเจ้า) ที่สำคัญลูกทั้งสองคนกำลังจะถูกจับไปเป็นทาสเพื่อชดใช้หนี้

Q1  เอลีชาตอบสนองต่อคำร้องขอให้ช่วยของหญิงม่ายผู้เป็นภรรยาของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร? (ดูข้อ 2- 7 ประกอบ)
Q2  คุณจะมีส่วนเป็น “น้ำมันที่เต็มไห” เพื่อดูแลผู้รับใช้เต็มเวลา และครอบครัวของผู้รับใช้เต็มเวลาได้อย่างไร?

คนที่มาทำหน้าที่ต่อจากเอลียาห์คือ เอลีชา โดยท่านไม่เพียงรับการถ่ายทอดเฉพาะหน้าที่เท่านั้น แต่ท่านยังได้รับถ่ายทอดฤทธิ์เดชของเอลียาห์ เหมือนกับที่ลูกชายคนโตได้รับมรดกจากพ่อที่เสียชีวิตไป (ได้รับมรดกเป็น 2 เท่า) วันนี้เราจะมาดูกันว่า เอลีชาเป็นผู้สืบทอดที่ดีอย่างไร

Q1  ชีวิตของเอลีชาที่ติดตามเอลียาห์ตั้งแต่วันแรก จนถึงนาทีสุดท้ายในชีวิตของเอลียาห์สะท้อนให้เห็นถึง “การเป็นผู้สืบทอดที่ดี” อย่างไร? (ดู 1พงศ์กษัตริย์ 19:21, 2พงศ์กษัตริย์ 2:2, 4, 6 ประกอบ)
Q2  ในฐานะที่คุณเป็นคริสเตียน คุณจะเป็น “ผู้สืบทอดความเชื่อที่ดี” อย่างไร?

3240/5058