พระเยซูคริสต์ถูกตรึงอยู่บนกางเขนเป็นเวลา 6 ชั่วโมง (ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง) ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ โดยท้องฟ้าได้มืดครึ้มตั้งแต่เวลาเที่ยง และบรรดาผู้คนที่รักพระเยซูคริสต์ยืนอยู่ในบริเวณนั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้หญิงที่เคยติดตามและปรนนิบัติพระเยซูคริสต์ (ข้อ 41)

Q1  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
Q2  ลองยืนกางแขนสัก 5 นาทีเพื่อจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพื่อจะเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับพระเยซูคริสต์ที่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขนยาวนานถึง 6 ชั่วโมง คุณรู้ไหมว่า พระองค์ทรงยอมทนทุกข์ทรมานขนาดนี้เพื่อคุณ ใช้เวลานี้อธิษฐานสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของคุณที่มีผ่านมาทางพระเยซูคริสต์

หลังจากที่ปีลาตไม่สามารถทักท้วงประชาชนได้ จึงยอมทำตามที่ประชาชนเรียกร้อง สั่งให้นำตัวพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่กางเขน ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับนักโทษที่ทำผิดร้ายแรง ก่อนที่ทหารจะนำตัวพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่ไม้กางเขน พวกเขาล้อเลียนพระเยซูคริสต์ด้วยการทำมงกุฎหนามให้สวมใส่ สวมผ้าคลุมสีม่วง โบยตีพระองค์ แล้วคุกเข่าสรรเสริญ ท้ายสุดได้นำพระเยซูคริสต์ไปตรึงระหว่างนักโทษฉกรรจ์ 2 คน โดยพระเยซูคริสต์ถูกตรึงเมื่อเวลา 9 โมงเช้า แถมพระองค์ยังถูกถากถางด้วยคำพูดมากมายทั้งจากทหาร ประชาชน มหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ รวมถึงโจรบนไม้กางเขนด้วย

Q1  คุณคิดว่า ทำไมพระเยซูคริสต์จึงไม่โต้ตอบ หรือแก้ข้อกล่าวหาใดๆ เลย? (ดู 1 เปโตร 2:23-24 ประกอบ)
Q2  “ต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์” (ข้อ 28) ทำให้เรารู้ว่า การตรึงที่กางเขนเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า พระเจ้าก็มีแผนการสำหรับชีวิตของคุณเช่นกัน คุณคิดว่า พระเจ้าอยากเห็นอะไรสำเร็จในชีวิตของคุณ

มาระโกบทที่ 15 นำเสนอเหตุการณ์ในเช้าอีกวันหนึ่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์ถูกจับ โดยพระเยซูคริสต์ถูกนำมาสอบสวนต่อหน้าปีลาต ซึ่งปีลาตก็รู้สึกประหลาดใจที่คนยิวจับพระเยซูคริสต์มา และอยากที่จะให้ท่านตัดสินใจประหารชีวิต แต่ดูเหมือนว่าปีลาตพยายามที่จะช่วยพระเยซูคริสต์

Q1  ทำไมปีลาตจึงพยายามที่จะช่วยพระเยซูคริสต์? (ดูข้อ 4, 10, 14 ประกอบ)
Q2  สุดท้ายปีลาตก็ทำตามที่ประชาชนต้องการ แทนความถูกต้อง เพียงเพื่อจะ “เอาใจ” ประชาชน (ข้อ 15) ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่พระเยซูเลือกที่จะทำเมื่อพระองค์ต้องอธิษฐานในสวนเกทเสมานีที่ว่า    “อับบาพระบิดาเจ้าข้า พระองค์อาจทรงกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” ทบทวนชีวิตของคุณว่า วันนี้คุณตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณเพื่อ “เอาใจมนุษย์” หรือ ให้เป็นไป “ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

หลังจากเมืองไทระ และเมืองไซดอน พระเยซูคริสต์ทรงกลับมาที่แคว้นกาลิลี เมืองทศบุรี มีคนพาคนที่หูหนวก แต่ยังพูดได้บ้าง (ติดอ่าง) มาให้พระเยซูคริสต์รักษา

Q1  พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายที่หูหนวกและพูดติดอ่างอย่างไร? (ดูข้อ 33-34 ประกอบ) และผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร? (ดูข้อ 35, 37 ประกอบ)
Q2  คำพูดที่ผู้คนกล่าวถึงพระเยซูคริสต์ว่า “พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่ดีทั้งนั้น” จะสามารถเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ผ่านคำพูดของคนที่อยู่รอบข้างคุณได้อย่างไร?

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จจากเมืองคาเปอรนาอุม ไปยังเมืองไทระ และเมืองไซดอน ซึ่งเป็นเมืองของคนต่างชาติ ห่างออกไปประมาณ 48 กิโลเมตร โดยที่ไม่ได้อยากให้ใครรู้ (ข้อ 24) แต่ข่าวของพระองค์ที่เดินทางก็หลุดไปถึงหูประชาชนจนได้ และที่นี่มีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวซีเรียฟีนิเซีย ได้มาอ้อนวอนพระองค์ขอให้รักษาลูกสาวที่ถูกผีสิง ซึ่งพระเยซูคริสต์ก็บอกปฏิเสธไป โดยพูดเป็นคำอุปมาอุปไมย (ข้อ 27) เพื่อจะบอกว่า งานหลักของพระองค์คือ มาช่วยอิสราเอลก่อน ไม่ได้เพื่อช่วยคนต่างชาติก่อน

Q1  หญิงชาวซีเรียฟีนิเซียตอบสนองต่อคำพูดของพระเยซูคริสต์อย่างไร? และผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร? (ดูข้อ 28-30 ประกอบ)
Q2  ความเชื่อของหญิงคนนี้ทำให้ลูกสาวของเธอหาย คุณมีสิ่งใดบ้างที่อธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ท่าทีของหญิงคนนี้และผลลัพธ์ที่เธอได้รับ หนุนใจคุณให้รักษาการอธิษฐานอย่างต่อเนื่องในเรื่องเหล่านั้นกับพระเจ้าอย่างไร
หมายเหตุ : ถึงแม้ว่าในสังคมยิว จะมีการพูดเปรียบเทียบว่า คนต่างชาติ เหมือนกับสุนัข แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะดูถูกและดูหมิ่นหญิงต่างชาติ แต่ต้องการเน้นถึง “บทบาทและหน้าที่หลักของพระองค์” เพราะในมัทธิว 15:28 ซึ่งบันทึกเรื่องราวเดียวกัน พระเยซูคริสต์เรียกหญิงนั้นว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” ซึ่งคำว่า หญิงเอ๋ย ตรงนี้มีความหมายถึงลูกสาว

3315/5050