วันจันทร์ที่ 30 กันยายน กันดารวิถี 13:17- 14:10 “สอดแนม 12 คน I”
หลังจากที่เดินทางมาถึงถิ่นทุรกันดารปาราน พระเจ้าทรงสั่งให้โมเสสส่งคนไปสอดแนมยังแผ่นดินคานาอัน โดยให้ส่งหัวหน้าของทั้ง 12 เผ่าเป็นตัวแทนไปสอดแนม (ข้อ 1-16) หลังจากที่เข้าไปสอดแนมถึง 40 วัน (ข้อ 25) ผู้สอดแนมทั้ง 12 คนกลับมาพร้อมกับกิ่งองุ่นที่มีองุ่นหนึ่งพวงแต่ต้องใช้คนถึง 2 คนหามกลับมา (ข้อ 23) โดยทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง” หมายถึง อุดมสมบูรณ์มาก
Q1 เมื่อคาเลบ และโยชูวา บอกกับโมเสสว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลัง สามารถที่จะเอาชัยชนะได้” (ข้อ 30) ประชาชนตอบสนองอย่างไร? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? (ดูข้อ 3:28, 31-33, 4:1-4 ประกอบ)
Q2 คุณคิดว่า อะไรทำให้คาเลบ และโยชูวาคิดแตกต่างจากผู้สอดแนมคนอื่นๆ ทั้ง 10 คน? (ดูข้อ 4:6-9 ประกอบ) คุณจะนำแบบอย่างชีวิตของคาเลบและโยชูวามาใช้ในการติดตามพระเจ้าอย่างไร?
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน กันดารวิถี 12:1-16 “พระเจ้าไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ”
ก่อนที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา เริ่มมีเหตุการณ์บางอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังของชนชาติอิสราเอล โดยเหตุการณ์แรกเริ่มจากคนระดับผู้นำ และเป็น 2 คนที่ใกล้ชิดโมเสสอย่างมาก นั้นคือ อาโรนและมิเรียม โดยทั้งคู่เริ่มแสดงความดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังพระเจ้า ด้วยการตำหนิผู้นำคือ โมเสส ว่าแต่งงานกับหญิงชาวคูช เท่านั้นยังไม่พอทั้งคู่ยังตั้งคำถามที่ท้าทายพระเจ้าเป็นอย่างมากคือ “พระเจ้าตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ” (ข้อ 1-2)
Q1 คุณคิดว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าโกรธอาโรนและมิเรียมอย่างมาก และลงโทษมิเรียมให้เป็นโรคเรื้อนถึง 7 วัน? (ดูข้อ 3, 6-8 ประกอบ)
Q2 คุณเคยมีคำถามสงสัยพระเจ้าเหมือนอาโรนและมิเรียมหรือไม่ คุณเอาชนะความสงสัยเหล่านั้นได้อย่างไร?
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน สดุดี 42:11 “จงหวังใจในพระเจ้า”
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ยไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้าเพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า
Q1 อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้าๆ สัก 2–3 รอบ จนจำเนื้อหาได้ คุณคิดว่า ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารอะไรกับผู้อ่านในการที่เขียนเนื้อหาในข้อ 11 เหมือนกับเนื้อหาในข้อ 5 ทุกประการ?
Q2 ขอให้คุณอ่านสดุดีบทที่ 42 ทั้งหมดอีกครั้ง และถามตัวคุณเองว่า พระเจ้าทรงเป็นความหวังใจ และความอุปถัมภ์ในชีวิตของคุณอย่างไร?
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน สดุดี 42:9-10 “ไฉนพระองค์ลืมข้าพระองค์เสีย”
9 ข้าพเจ้าทูลพระเจ้าพระศิลาของข้าพเจ้าว่า “ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์เสีย ไฉนข้าพระองค์จึงต้องไปอย่างเป็นทุกข์เพราะการบีบบังคับของศัตรู”
10 ปรปักษ์ของข้าพระองค์เยาะเย้ยข้าพระองค์ประดุจแผลร้ายภายในร่างของข้าพระองค์ ในเมื่อเขากล่าวแก่ข้าพระองค์เสมอๆ อยู่ว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน”
Q1 อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้าๆ สัก 2–3 รอบ จนจำเนื้อหาได้ ผู้เขียนย้อนกลับมาเขียนถึงความทุกข์ใจอีกครั้งด้วยรูปแบบที่คล้ายกับข้อ 3 แต่จากคำพูดที่ว่า “ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์เสีย” สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจของผู้เขียนว่าเป็นอย่างไร?
Q2 คุณเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายกับผู้เขียนที่ถามพระเจ้าว่า “พระองค์อยู่ไหน” “ทำไมพระองค์ทอดทิ้งคุณ” คุณผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้อย่างไร?
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน สดุดี 42:6-8 “ระลึกถึง”
6 จิตใจของข้าพระองค์ฝ่ออยู่ภายในข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงระลึกถึงพระองค์ ตั้งแต่แผ่นดินแห่งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งภูเขาเฮอร์โมนตั้งแต่เนินมิซาร์
7 เมื่อเสียงน้ำแก่งตกที่ลึกก็กู่เรียกที่ลึกบรรดาคลื่นและระลอกของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว
8 กลางวันพระเจ้าทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์ และกลางคืนเพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้าเป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
Q1 อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้าๆ สัก 2–3 รอบ จนจำเนื้อหาได้ ดูเหมือนความทุกข์ใจ และความยากลำบากในชีวิตของผู้เขียนมีมากมายเหมือนกับน้ำที่ท่วมรอบตัวเขา แต่อะไรคือสิ่งที่ยังทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจเดินหน้าต่อไป? (ดูข้อ 8 ประกอบ)
Q2 เมื่อคุณเผชิญหน้ากับความยากลำบาก คุณพยายามจัดการกับสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวคุณเองเป็นอันดับแรก หรือคุณอธิษฐานและฝากสิ่งเหล่านั้นไว้กับพระเจ้าเป็นอันดับแรก?