6 – 12 ธันวาคม ใคร่ครวญ : สดุดี 32
การมีเวลาหยุดพักเพื่อจะทบทวนชีวิตเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ชีวิตของเราเป็นอย่างไร มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดตกบกพร่อง ต้องแก้ไขอะไรบ้าง หรือมีบางสิ่งบางอย่างที่เกินเลยความพอดีหรือไม่ โดยเฉพาะในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ สิ่งที่ขาดไปหรือสิ่งที่มีมากเกินไปในชีวิต อาจจะทำให้เราห่างไกลจากพระเจ้า ทำความผิดบาป และหลงหายไปจากพระเจ้าได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้เรากลับมาใกล้ชิดกับพระเจ้า และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าอีกครั้งคือ “การสารภาพบาป และการได้รับการอภัย” ในสัปดาห์นี้เราจะมาใคร่ครวญจากพระธรรมสดุดี 32

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม             สดุดี 32:1-11

ในการใคร่ครวญ คุณจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงภาพโดยรวมของพระคัมภีร์ตอนนั้น รวมทั้งมีจิตใจที่สงบ ดังนั้นใช้เวลานี้สงบใจลงต่อพระพักตร์ของพระเจ้า อธิษฐานขอพระเจ้าคุณมีสติ มีความตั้งใจ และมีความจดจ่อต่อพระวจนะของพระเจ้าที่คุณกำลังใคร่ครวญตลอดสัปดาห์นี้

1 บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น
2 บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุขคือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา
3 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์
4 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนในหน้าแล้ง
5 ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิดของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า
“ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระองค์ต่อพระเจ้า” แล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์
6 เพราะฉะนั้น ขอให้ธรรมิกชนทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์ ในเวลาที่จะพบพระองค์ได้ ในเวลาน้ำท่วมมาก น้ำจะไม่มาถึงคนนั้น
7 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้
8 เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่
9 อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อ ที่ปราศจากความเข้าใจ ซึ่งต้องติดสายผ่าปากและบังเหียน มิฉะนั้นมันก็ไม่ไปกับเจ้า
10 อันความทุกข์ของคนอธรรมนั้นมีมาก แต่ความรักมั่นคงจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระเจ้า
11 ข้าแต่คนชอบธรรม จงยินดีในพระเจ้าและเปรมปรีดิ์ บรรดาท่านผู้มีใจเที่ยงตรง จงโห่ร้องเถิด

Q1  อธิษฐาน และอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ช้า 2-3 รอบ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับบทเรียนอะไรบ้าง ค่อยๆ ปล่อยให้ความคิดของคุณไหลไปกับพระคำของพระเจ้าที่คุณได้อ่านไป
Q2  อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคัมภีร์ตอนนี้ และขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือคุณในการใคร่ครวญพระคัมภีร์ตอนนี้ตลอดสัปดาห์

เปโตรยังเป็นเปโตรที่คิดไว พูดไว เปโตรอาจจะสงสัยว่า ทำไมตัวเขาต้องถูกถามถึง 3 ครั้ง ในขณะที่สาวกคนอื่นๆ ไม่ถูกถาม โดยเฉพาะสาวกคนที่พระเยซูรัก เปโตรก็อยากจะรู้ถึงอนาคตของสาวกคนนี้ด้วยว่า จะเป็นอย่างไร

Q1  พระเยซูตอบสนองต่อคำถามของซีโมนเปโตรที่มีต่อสาวกคนที่พระองค์รักอย่างไร? (ดูข้อ 22-23 ประกอบ)
Q2  หลายเรื่องที่เราอาจจะไม่มีคำตอบเหมือนอย่างที่พระเยซูบอกับเปโตรว่า “จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้า” และมีอีกหลายเรื่องที่มีคำตอบแต่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ เหมือนที่ยอห์นได้บอกว่า ถ้าจะเขียนสิ่งที่พระเยซูกระทำ โลกใบนี้ทั้งใบก็ไม่มีที่พอสำหรับหนังสือ แต่สิ่งหนึ่งที่มีคำตอบแน่นอนคือ “คำพยานที่เขียนเกี่ยวกับพระเยซูตั้งแต่ในยอห์นบทที่ 1 ข้อ 1 จนถึงข้อสุดท้ายนี้เป็นความจริง” ชีวิตของคุณจะเป็น “พยาน” เกี่ยวกับพระเยซูตั้งแต่วันแรกที่คุณต้อนรับพระองค์ จนถึงวันที่คุณจากโลกใบนี้ได้อย่างไร?

ดูเหมือนว่า การที่พระเยซูมาพบกับเหล่าสาวกครั้งนี้ จะมีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะกับเปโตร เพราะพระเยซูทรงถามคำถามเปโตรอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” และถามถึง 3 ครั้งด้วยกัน

Q1  ซีโมนเปโตรตอบสนองต่อคำถามของพระเยซูด้วยคำพูดและท่าทีในใจอย่างไร? และพระเยซูทรงตอบกลับอย่างไร? (ดูข้อ 15, 16, 17 ประกอบ)
Q2  เมื่อพระเยซูพูดกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด” พระเยซูไม่เพียงแต่พูดให้คิด แต่ต้องการให้มีการตัดสินใจและลงมือทำด้วย เพราะเป็นการติดตามที่สำคัญ เปโตรรู้ว่า ความตายเป็นสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ ถ้าเขาเลือกที่จะติดตามพระเยซู เช่นเดียวกัน ถ้าวันนี้พระเยซูพูดกับคุณว่า “จงตามเรามาเถิด” คุณจะตอบสนองอย่างไร?

เมื่อเปโตรและเหล่าสาวกคนอื่นๆ มาถึงฟัง พวกเขาก็พบว่า พระเยซูได้ทรงเตรียมอาหารให้กับพวกเขา ทั้งขนมปัง และปลาย่าง และทั้งหมดก็มีโอกาสได้ทานอาหารด้วยกันอีกครั้ง แต่เป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบ

Q1  อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกสาวกไม่กล้าถามว่า “พระองค์คือผู้ใด”? (ดูข้อ 10, 13, 14 ประกอบ)
Q2  ก่อนหน้านี้มีเพียงสาวกคนที่พระเยซูรักและเปโตรเท่านั้นที่รู้ว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” แต่ในข้อ 12 บอกว่า ไม่มีใครกล้าถามว่า “ท่านคือใคร” เพราะทุกคนรู้อยู่ว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ทำอย่างไรที่ไม่ต้องให้มีใครถามคุณว่า “คุณเป็นคริสเตียนหรือเปล่า”? เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า “คุณเป็นคริสเตียน”?

ดูเหมือนว่า หลังจากที่พระเยซูปรากฏตัวกับเหล่าสาวกในห้องชั้นบน ก็ยังไม่ได้สร้างความเชื่อมั่น หรือความไว้วางใจให้เหล่าสาวกยืนหยัดในความเชื่อ   ในทางตรงกันข้ามซีโมน โธมัส (แฝด) นาธานาเอล บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกอีก 2 คน รวมกันทั้งหมด 7 คนได้หันกลับไปทำอาชีพเดิมคือ “ชาวประมง” พวกเขาชวนกันไปจับปลา โดยมีซีโมนเป็นตัวตั้งตัวตี ซึ่งปรากฏว่า พวกเขาทอดอวนคืนยันรุ่ง แต่จับปลาไม่ได้สักตัว เมื่อเหล่าสาวกทั้งหมดแล่นเรือกลับมาใกล้ถึงฝั่ง และพบว่า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกเขาจำไม่ได้ว่าเป็นพระองค์

Q1  อะไรทำให้สาวกจดจำได้ว่า คนที่พวกเขาพูดคุยด้วยคือ “พระเยซู”? (ดูข้อ 5, 6, 7 ประกอบ)
Q2  ประโยคที่ว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” ทำให้เปโตรรีบว่ายน้ำมาหาพระองค์ ทำให้สาวกคนอื่นรีบแล่นเรือกลับมาหาพระองค์ การรู้ว่า “พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” จะทำให้คุณ “รีบกลับมาหาพระเยซู” และหันหลังให้กับ “สิ่งใด” บ้างที่ทำให้คุณห่างจากพระองค์?

3080/5069