การทดลองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น หรือมองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสงครามฝ่ายจิตวิญญาณด้วย ดังนั้นถ้าเราต้องการที่จะมีชัยชนะเหนือการทดลอง เราจะต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างถึงที่สุด เหมือนกับที่ ฟีลิปปี 4:13 ที่บอกกับเราว่า “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

Q1  เปาโลได้พูดถึงกฎ 2 อย่างที่อยู่ในตัวของท่าน อันที่จริงต้องบอกว่า อยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน กฎใดที่ทำให้เปาโล (มนุษย์) พ่ายแพ้ต่อการทดลอง?
Q2  พระเยซูคริสต์มีส่วนทำให้เปาโลมีชัยชนะเหนือการทดลองอย่างไร? และคุณจะนำบทเรียนชีวิตของเปาโลมาใช้ในชีวิตของคุณอย่างไร?

มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความทดลอง สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้เราพ่ายต่อการทดลองคือ “ความประมาท” เหมือนกับคำพูดที่เรามักจะได้ยินเสมอ ๆ ว่า “ความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตาย” เพราะศัตรูของเราคือ มารซาตานผู้เป็นเจ้าแห่งการทดลองนั้นน่ากลัวกว่าที่เราคิด เหมือนใน 1เปโตร 5:8 ที่บอกกับเราว่า “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”

Q1  “เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง” (1 โครินธ์ 10:12)   ช่วยให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “ความประมาท” และ “การทดลอง” อย่างไร?
Q2  ลองนั่งลงทบทวนดูว่า คุณได้จัดการกับการทดลองที่เข้ามาในชีวิตอย่างไร? มีสิ่งใดที่ต้องระมัดระวัง และไม่ประมาทบ้าง เพื่อคุณจะไม่พ่ายแพ้ต่อการทดลองนั้น ๆ?

การทดลองความเชื่อเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียน เนื่องจากคริสเตียนเชื่อและติดตามพระเจ้าซึ่งเป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ทีไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นการดำเนินชีวิตของคริสเตียน จึงเป็นการดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ เหมือนดั่งที่อัครทูตเปาโลบันทึกไว้ในพระคัมภีร์โรม.1:17 ว่า “เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่นต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ คามทีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ไดโดยความเชื่อ” ในสัปดาห์นี้เราจะมาเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับการทดลอง และวิธีการที่มีชัยชนะเหนือการทดลองที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม    1 โครินธ์ 10:13               “การทดลองไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด”

“ไม่มีการทดลองใดๆ ที่เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองที่เคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย
พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงทดลองท่าน พระองค์ทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้”
(1 โครินธ์ 10:13)

Q1  คำว่า “ไม่มี“การทดลองใดๆ“เคยเกิดขึ้น“เกินกว่าท่านจะทนได้“หลีกเลี่ยงได้” และ “มีกำลังทนได้” ช่วยให้เห็นถึงธรรมชาติของการทดลองที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างไร?
Q2  คำว่า “พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม” “ไม่ทรงให้ท่าน” และ “ทรงโปรดให้ท่าน” หนุนใจคุณอย่างไรในการเผชิญหน้ากับการทดลองที่คุณมีอยู่วันนี้?

พระเยซูได้ทรงตรัสถึง “หลักการในการพิพากษา” ที่จะเกิดขึ้นในวันสุดท้ายไว้อย่างน่าสนใจ   ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ยืนยันว่า พระองค์มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรม 2 เปโตร 3:9 ที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่”

Q1  ประโยคที่ว่า “ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่กระทำตาม” และ “ไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา” ประโยคไหนที่พระเยซูจะใช้เป็นหลักการในการพิพากษา?
Q2  คุณดำเนินชีวิตเป็นคริสเตียนเป็นสาวกของพระเยซูเพราะคุณ “ยอมรับพระองค์” หรือ “คุณยอมรับในคำสอนของพระองค์”?

พระเยซูได้ปลีกตัวออกออกจากฝูงชน เพราะรู้ว่า เวลาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว (การถูกจับและตรึงที่กางเขน)   แต่พระองค์ไม่ได้หยุดที่จะกระทำหมายสำคัญ (การประกาศแผ่นดินของพระเจ้า การรักษาโรค การขับผี และการอัศจรรย์อื่นๆ) แต่ผู้คนก็ยังไม่ได้เชื่อและไว้วางใจในพระองค์

Q1  อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนไม่เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์? (ดูข้อ 38, 39, 40, 43 ประกอบ)
Q2  อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ในฐานะของพระผู้ช่วยให้รอด วันนี้คุณยังเชื่อมั่นในเหตุผลที่คุณให้กับตนเองหรือเปล่า?

3120/5062