มีผู้คนเป็นอันมากอยากจะติดตามพระเยซูคริสต์ (ข้อ 4) ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่พระเยซูต้องการมากกว่าคนที่ติดตามพระองค์ คือ “ชีวิต” ชีวิตที่ไม่เพียงแต่ “เดินตาม” แต่เป็นชีวิตที่ “ติดตาม” ซึ่งแตกต่างกันอย่างมาก เพราะการ “เดินตาม” นั้นไม่จำเป็นต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่การ “ติดตาม” นั้นจะต้องมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง และมีชีวิตที่เกิดผลด้วย พระเยซูจะตรัสเป็นคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช?

Q1  คุณคิดว่า พระเยซูอยากให้คนที่ “ติดตาม” พระองค์เป็นเมล็ดพืชที่ตกอยู่ในดินแบบไหน? (ดูข้อ 8, 15 ประกอบ)
Q2  คุณคิดว่า ชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ของคุณ เป็นชีวิตที่ตกในดินแบบไหน? และเกิดผลดีอย่างไรบ้าง?

ชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ ไม่ได้หมายความว่า สายตาของเราจะจับจ้องอยู่ที่พระเยซูคริสต์จนไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบๆ ข้าง ในทางตรงกันข้ามชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ต้องเป็นชีวิตที่ทำให้คนรอบๆ ข้างรู้ว่า ชีวิตที่ติดตามพระคริสต์เป็นชีวิตที่ห่วงใยผู้อื่นด้วยทั้งในด้านจิตวิญญาณและร่างกาย ในลูกา 6:1-10 สาวกได้สำแดงชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ในการห่วงใยผู้อื่นฝ่ายจิตวิญญาณเป็นอย่างดี และพวกเขากลับมาเล่าให้พระเยซูฟังด้วยความยินดี แต่เมื่อเขาต้องแสดงความห่วงใยฝ่ายร่างกาย ปัญหาก็เกิดขึ้น

Q1  เมื่อพระเยซูกลับบอกให้สาวกว่า “จงเลี้ยงเขาเถิด” ปัญหาที่เกิดขึ้นท่ามกลางสาวกคืออะไร? (ดูข้อ 12-14 ประกอบ)
Q2  พระเยซูทรงใช้ “อาหารที่มีอยู่” คือ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวในการเลี้ยงคน 5000 คน เช่นเดียวกันพระเยซูไม่ได้เรียกร้องให้เราห่วงใยผู้อื่นจาก “สิ่งที่เราไม่มี” แต่ให้เราห่วงใยผู้อื่นจาก “สิ่งที่เรามี” และพระเจ้าจะอวยพรสิ่งเหล่านั้น คุณคิดว่า คุณจะสำแดงชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ ด้วยสิ่งของที่คุณมีด้วยการห่วงใยผู้อื่นอย่างไร?

ชีวิตที่ติดตามพระคริสต์ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อเกิดในครอบครัวคริสเตียน หรือการได้ไปโบสถ์ ไปร่วมกิจกรรมของคริสเตียน แต่ชีวิตที่ติดตามพระคริสต์เริ่มต้นจากการที่สำนึกได้ว่า ตนเองนั้นเป็นคนบาป และรู้ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถยกโทษความผิดบาป และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้กลายเป็นคนใหม่ได้ ซึ่งชีวิตของผู้หญิงเคยชั่วคนหนึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้

Q1  พระเยซูทรงเปรียบเทียบการกระทำของซีโมนเจ้าของบ้านกับหญิงเคยชั่วว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? (ดูข้อ 44-46 ประกอบ)
Q2  อะไรคือสาเหตุที่ทำให้การกระทำของซีโมนเจ้าของบ้านกับหญิงคยชั่วจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? (ดูข้อ 42-43, 47,50 ประกอบ) คุณเรียนรู้อะไรบ้างจากชีวิตของหญิงเคยชั่ว ที่จะสามารถนำไปใช้ในดำเนินชีวิตติดตามพระคริสต์

เรื่องราวของโยบที่เราดูไปเมื่อวานนี้สะท้อนให้เห็นอีกหนึ่งลักษณะของมารซาตานคือ เป็นผู้กล่าวโทษ มันกล่าวโทษต่อหน้าของพระเจ้า ไม่เพียงแต่เท่านั้นมันทำให้เพื่อนๆ ของโยบกล่าวโทษตัวของโยบด้วยว่า ทำผิดบาป และไม่ยอมรับผิด มารซาตานรู้ว่า การถูกกล่าวโทษจะนำมาซึ่งความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และสูญเสียความมั่นใจทั้งกับตัวเอง และกับพระเจ้า จนหลายครั้งเราอาจจะพูดกับตัวเอง ฉันนี่แย่มากเลย พระเจ้าก็ไม่เคยห่วงใยฉัน เป็นต้น

Q1  จากพระคัมภีร์ตอนนี้ช่วยชี้ให้เราเห็นว่า มารซาตานใช้เวลาในการกล่าวโทษเราที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน? (ดูข้อ 10 ประกอบ)
Q2  ถ้าคุณกำลังกล่าวโทษตัวเอง หรือกล่าวโทษพระเจ้าอยู่ในเวลานี้ คุณจะมีชัยชนะเหนือคำกล่าวโทษเหล่านั้นได้อย่างไร? (ดูข้อ 11 และ 1 ยอห์น 1:9 ประกอบ)

ถ้าหากมารซาตานไม่สามารถที่จะล่อลวงให้เรามีความสงสัยพระเจ้าได้ หรือให้เรามีจิตใจที่หันเหไปจากพระเจ้าได้ อีกสิ่งหนึ่งที่มารซาตานมักจะทำก็คือ การทำลายร่างกายของเรา การกัดกินชีวิตของเรา ด้วยการทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากในชีวิต เหมือน 1 เปโตร 5:8 ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” ซึ่งโยบเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้

Q1  มารซาตานได้กระทำอย่างไรกับโยบ? (ข้อ 3-7) และโยบตอบสนองอย่างไร? (ข้อ 9)
Q2  คำพูดของโยบที่ว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของไม่ดีบ้างหรือ” หนุนใจคุณอย่างไรที่จะยังยืนหยัดในความเชื่อ แม้ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากก็ตาม

3565/5068