การยกโทษให้กัน หรือการอภัยให้แก่กันและกันในสังคมของเราดูเหมือนว่าจะลดน้อยลงทุกวันๆ  ภาพที่เข้ามาแทนที่คือ ถ้าใครดีมาก็ดีตอบ แต่ถ้าใครร้ายมาก็ร้ายตอบ รอคอยจังหวะที่จะทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นค่านิยมของสังคม และพูดกันจนติดปากว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” ซึ่งไม่แตกต่างจากค่านิยมหรือคำสอนที่มีในสมัยของพระเยซูคริสต์ว่า “ตาต่อตา และฟันแทนฟัน” (ข้อ 38)

Q1  พระเยซูคริสต์ทรงมีแนวความคิดที่แตกต่างจากคนสมัยนั้น  และพระองค์ทรงยกตัวอย่างเปรียบ   เทียบไว้ 4 เรื่องด้วยกัน อะไรบ้าง ?
Q2  คำสอนของพระเยซูคริสต์ สอดคล้องกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ว่า “อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา” (โรม 12:20) คุณจะนำค่านิยมใหม่นี้ไปใช้ในชีวิตอย่างไร?

ในปัจจุบันค่านิยมการเลียนแบบมีมากขึ้นทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบเรื่องการแต่งกาย  การพูดจา ลักษณะท่าทางต่างๆ ตามดาราหรือนักร้องที่ตนเองชื่นชอบ แต่ดูเหมือนว่า การเลียนแบบไม่ได้หยุดแค่เลียนแบบสิ่งดีๆ แต่รวมไปถึงการเลียนแบบในสิ่งที่ไม่ดีด้วย เวลามีคนมาพูดตักเตือน ก็มักจะพูดว่า “ใครๆ เขาก็ทำกัน”

Q1  พระคัมภีร์ตอนนี้เห็นด้วยกับค่านิยม “ใครๆ เขาก็ทำกัน” หรือไม่? อย่างไร?
Q2  คุณสามารถทำสิ่งอะไรก็ได้ไม่มีใครห้าม แต่สิ่งที่คุณเลือกจะทำเป็น “สิ่งที่ดี” หรือ “ดียอดเยี่ยม” ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในปัจจุบันค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ของหนุ่มสาวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ค่านิยมแบบรักสนุก แต่ไม่ผูกพัน เริ่มมีมากขึ้นในสังคม นั้นหมายความว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน เป็นความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน เน้นแต่ความชอบ ความสนุก พอตื่นเช้าขึ้นมาทุกสิ่งก็จะถือเหมือนว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างคนต่างไป และแน่นอนว่า ค่านิยมแบบนี้ไม่ใช่ค่านิยมของพระคัมภีร์ เพราะมีคำสอนไว้ว่า “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา”

Q1  การที่พระเยซูคริสต์สอนว่า “ถ้าตาเราทำผิดให้ควักตาทิ้ง และถ้ามือทำผิดให้ตัดมือทิ้ง” พระองค์   ต้องการให้เราทำตามนั้นจริงๆ หรือไม่ หรือว่ามีความหมายอื่นแฝงอยู่?  (ดูข้อ 27, 28 ประกอบ)
Q2  อธิษฐานขอการปกป้องจากพระเจ้าที่จะช่วยเหลือคุณให้ห่างไกลจากความผิดบาปในเรื่องเพศ หรือถ้าท่านมีปัญหาในเรื่องนี้ อธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้าที่จะตัดสิ่งเหล่านี้ออกจากชีวิต

ค่านิยมอย่างหนึ่งในสังคมที่มีมานาน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ “ความสมบูรณ์แบบ”  ไม่ว่าจะเป็นตัวงาน หรือตัวคน ทุกอย่างจะต้องเนี๊ยบและสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ “ความวิตกกังวล” วิตกกังวลว่า วันหนึ่งจะเกิดการผิดพลาด วันหนึ่งจะไม่สมบูรณ์แบบ ยิ่งวิตกกังวล ก็ยิ่งพยายามจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ยิ่งพยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ก็ยิ่งวิตกกังวล กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบในชีวิตของเรา

Q1  พระเยซูคริสต์สอนให้รู้จัก “ความจริงเกี่ยวกับความวิตกกังวล” อย่างไร? (ดูข้อ 27, 34 ประกอบ)
Q2  เราทุกคนสามารถผิดพลาดได้ วิตกกังวลได้ คุณมีเรื่องใดในชีวิตที่ทำให้คุณมีความทุกข์และวิตกกังวลหรือไม่ พระคัมภีร์ข้อ 26 และ 33 หนุนใจคุณอย่างไร?

 

ในสังคมปัจจุบัน มีค่านิยมแบบ “หว่านพืชหวังผล” นั้นมีเพิ่มมากขึ้น ทุกคนต่างเลือกทำ โดยหวังว่าจะได้รับบางอย่างกลับคืนมา ทุกอย่างที่จะได้มาจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรบางอย่าง รวมไปถึงการทำความดี ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ฟรีอีกต่อไป จะทำความดีก็ต่อเมื่อมีคนรู้ มีคนเห็น

Q1  พระเยซูคริสต์เปรียบเทียบ คนที่ทำดี (การปฏิบัติธรรม / การทำทาน / อธิษฐาน) โดยหวังผลตอบแทนเป็นเหมือนคนประเภทใด? (ดูข้อ 2, 5 ประกอบ)
Q2  คุณเคยทำอะไรที่หวังผลเหมือนเป่าแตรข้างหน้าหรือไม่? ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือคุณให้ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนกลับคืนมา

3745/5062