อีกสองเดือนต่อมาพระเจ้าทรงตำหนิบรรดาปุโรหิต ที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในพระวิหารของพระเจ้า เพราะพวกปุโรหิตรู้ว่า อะไรผิด อะไรถูก แต่ก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้ และยอมผ่อนปรนให้ประชาชนอิสราเอลกระทำผิดในเรื่องของถวายบูชาแด่พระเจ้า โดยนำของที่เป็นมลทินมาถวาย (ข้อ 13)

Q1 อะไรคือผลลัพธ์จากการที่อิสราเอลไม่สัตย์ซื่อในเรื่องของการถวายต่อพระเจ้า? (ดูข้อ 16-17 ประกอบ)
Q2 ลองทบทวนดูว่า ความยากลำบากในชีวิตของคุณ เกิดขึ้นเพราะความไม่สัตย์ซื่อของคุณหรือเปล่า อธิษฐานสารภาพ และขอกำลังจากพระเจ้าที่คุณจะกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป ดูเหมือนว่า การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้า และไม่สวยงามเหมือนครั้งที่กษัตริย์ซาโลมอนก่อสร้าง (ข้อ 1-3) แต่พระเจ้ายังหนุนน้ำใจผู้นำและชนชาติอิสราเอลให้เดินหน้าทำงานต่อไป

Q1 แม้ว่าพระวิหารที่ถูกสร้างใหม่จะไม่สวยงามเท่าของเดิม แต่พระเจ้ากลับบอกว่า “สง่าราศีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งกว่าครั้งเดิม” (ข้อ 9) เป็นเพราะสาเหตุใด? (ดูข้อ 4-5 ประกอบ)
Q2 ใน 1 โครินธ์ 3:16 เขียนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน” คุณได้ก่อสร้างชีวิตของคุณในฐานะที่เป็นพระวิหารของพระเจ้าอย่างไรบ้าง?

ฮักกัยเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มหลังเอสรา และมาในเวลาที่เหมาะสม เพราะการก่อสร้างพระวิหารถูกขัดขวาง และประชาชนต่างท้อถอยและหมดกำลังใจในการซ่อมแซมพระวิหาร (เอสรา 4:4; 5:1) โดยประชาชนได้กล่าวกันโดยทั่วไปด้วยความสงสัยว่า “เวลาที่จะสร้างพระนิเวศของพระเจ้านั้นยังมาไม่ถึง” (ข้อ 2) และดูเหมือนว่า ประชาชนจะหันกลับไปซ่อมแซมบ้านเรือนของตนเองแทน

Q1 ทำไมคำถามของพระเจ้าที่มาถึงอิสราเอลผ่านทางฮักกัยในข้อ 4-10 จึงเร้าใจให้ประชาชนกลับมาซ่อมแซมพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง?
Q2 คริสตจักรของเรากำลังจะก่อสร้างอาคารหลังใหม่ พระเจ้าทรงเร้าใจคุณให้มีส่วนร่วมในการก่อสร้างครั้งนี้อย่างไร? (อธิษฐานเผื่อ ถวายทรัพย์ ร่วมเสนอความคิด เข้ามาช่วยดูแลการก่อสร้าง)

สถิติการหย่าร้างในสังคมไทยสูงขึ้นทุกๆ ปี และผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่เพียงคู่สามีภรรยาเท่านั้น ยังมีเด็กๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ ตกอยู่ในสภาพของเด็กที่ต้องกำพร้าพ่อหรือแม่ โดยที่ไม่เต็มใจ และส่งผลต่อเนื่องมายังสังคม กลายเป็นปัญหาของสังคมโดยรวมอีกด้วย ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งมีมา แต่มีมาเป็นเวลานาน แม้แต่ในสมัยของพระเยซูคริสต์เอง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน

Q1 แม้ว่าจะมีธรรมบัญญัติให้หย่าร้างได้ โดยเฉพาะถ้ามีการผิดประเวณี (ข้อ 9) แต่จากคำตอบของพระเยซูคริสต์ในข้อ 5-6 โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกัน” ช่วยให้รู้ว่า พระเยซูทรงคิดเห็นเกี่ยวกับการหย่าร้างอย่างไร?
Q2 ถ้าคุณคิดจะแต่งงาน จงตระหนักว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น “จงคิดให้ดี” ก่อนที่จะแต่งงาน และถ้าคุณแต่งงานแล้ว “จงเลิกคิด” ถึงการหย่าร้าง จงอธิษฐานฝากครอบครัวคุณไว้กับพระเจ้า

ในสังคมมีคำกล่าวว่า “รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา” “ขอให้เรารักเขา และเขารักเรา แค่นั้นก็พอแล้ว” แต่สำหรับเราที่เป็นคริสเตียน รักอาจจะไม่มีพรหมแดน แต่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ต้องเป็นสิ่งที่คิดพิจารณา เพราะการแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของสถานะที่เปลี่ยนไป หรือความผูกพันธุ์ฝ่ายร่างกายฉันท์สามีภรรยา แต่ยังหมายถึง การเป็นหนึ่งเดียวกันฝ่ายจิตวิญญาณด้วย

Q1 เปาโลได้ให้เห็นเหตุผลอย่างไร (ค่อนข้างรุนแรง) ในการที่คนของพระเจ้าไม่ควรจะเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า?
Q2 ถ้าคุณยังไม่แต่งงาน อธิษฐานขอพระเจ้าทรงจัดเตรียมคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับคุณในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการมีความเชื่อเดียวกัน ถ้าคุณคบอยู่กับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ขอพระเจ้าช่วยเหลือคุณให้คุณเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

4670/5444