มีคาห์ได้บรรยายถึงสภาพสังคมในเวลานั้นว่า ทุกคนจ้องจะทำร้ายกัน หลอกลวงกัน ทรยศกัน เป็นศัตรูกัน หาความไว้วางใจไม่ได้ และแผ่นดินเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ซึ่งมีคาห์จบลงด้วยคำพูดที่น่าสนใจในข้อ 7 ที่ว่า “แต่สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะมองดูพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเฝ้าคอยพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงฟังข้าพเจ้า” บทเรียนจากชีวิตของมีคาห์หนุนใจคุณอย่างไรในการดำเนินชีวิตวันนี้

ในข้อ 8 ที่ว่า “มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า” สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการคือ “ชีวิตของคุณ” ไม่ใช่ “สิ่งของมากมาย” (ข้อ 6-7) ใช้เวลานี้ทบทวน คิดถึงวันที่คุณต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ คุณได้ให้ “ชีวิตของคุณ” กับพระองค์ หรือให้ “สิ่งของที่คุณมี” กับพระองค์

ในข้อ 4 เราเห็นภาพของพระเจ้าในฐานะของ “ผู้เลี้ยงแกะ” ส่วนในข้อ 10 เราเห็นภาพของพระเจ้าในฐานะของ “ผู้พิพากษา” ภาพ 2 ภาพนี้สอนและเตือนสติคุณอย่างไรบ้างในการดำเนินชีวิตคริสเตียนวันนี้

ในข้อที่ 2 หนุนใจให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า เพื่อให้พระองค์สอน และเราจะทำตาม คุณมีท่าทีอย่างไรในการเข้าเฝ้าพระเจ้าทั้งในชีวิตส่วนตัว (การเฝ้าเดี่ยว) และในการมานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ที่คริสตจักร คุณเชื่อหรือไม่ว่า พระเจ้าจะทรงตรัสกับคุณเมื่อคุณได้เข้าเฝ้าพระองค์ทั้งในการเฝ้าเดี่ยว และการนมัสการในวันอาทิตย์? และที่สำคัญคุณพร้อมจะทำตามที่พระเจ้าตรัสมากน้อยแค่ไหน?

ในข้อ 11 ได้บอกกับเราว่า ผูนำของอิสราเอล ปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะต่างปรนนิบัติพระเจ้าด้วยท่าทีที่ผิด มองว่า เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่จะได้รับ (สินบน สินจ้าง เงิน) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด เราควรมีท่าทีในการปรนนิบัติรับใช้ที่มาจากความรัก เหมือนข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “จงรัก และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน” (มาระโก 12:30) อธิษฐานขอพระเจ้าให้คุณปรนนิบัติพระองค์ด้วยความรัก ไม่ใช่ผลประโยชน์

9060/9483