ความกลัวเป็นอารมณ์พื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน และเราอาจจะกลัวสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน เหมือนกับผู้เขียนสดุดีบทนี้ที่กลัวหลายอย่าง ทั้งคนชั่ว คู่อริ สงคราม ความยากลำบาก กลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการใส่ร้าย กลัวการทารุณ แต่สุดท้ายเขาก็เอาชนะความกลัวเหล่านี้ได้

Q1  อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้ผู้เขียนสดุดีบทนี้เอาชนะความกลัว? (ดู ข้อ 1, 4, 8, 11, 13 ประกอบ)
Q2  คุณคิดว่า คุณจะสามารถพูดได้เหมือนกับผู้เขียนสดุดีบทนี้ที่ว่า “ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า” ได้อย่างไร?

ฮามานยังไม่ทันจะหายจากความโศกเศร้าเสียใจเพราะเสียหน้าในเรื่องโมรเดคัย เขาก็ถูกเรียกไปร่วมในงานเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์ พร้อมกับพระราชา ซึ่งในงานเลี้ยงนี้เองพระนางเอสเธอร์ได้ทูลเรื่องที่ฮามานคิดวางแผนจะฆ่าเธอ ครอบครัวของเธอ และเพื่อนร่วมชาติของเธอ ทำให้พระราชาโกรธมาก จนสุดท้ายสั่งประหารฮามานที่บนตะแลงแกงที่ฮามานเตรียมไว้แขวนโมรเดคัย

Q1  อย่างที่รู้กันตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่า ในหนังสือเอสเธอร์ ไม่มีคำว่า “พระเจ้า” เลย แต่ในบทสรุปของเนื้อหาในวันนี้ คุณเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ตอนนี้ในเหตุการณ์ใดบ้าง?
Q2  ลองทบทวนชีวิตของคุณ คิดถึงเหตุการณ์ที่สำคัญๆ ที่มีผลต่อชีวิตของคุณอีกครั้ง ทั้งก่อนที่จะเชื่อพระเจ้าและหลังจากที่เชื่อพระเจ้า คิดดูว่า พระเจ้าทรงมีส่วนในเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างไรบ้าง?

ฮามานวางแผนฆ่าโมรเดคัยด้วยการแขวนคอบนตะแลงแกงสูงถึงห้าสิบศอก และกำลังจะนำเรื่องนี้ทูลกษัตริย์อาหสุเอรัสให้ทราบและอนุญาต แต่พระเจ้าทรงมีแผนการในการช่วยเหลือโมรเดคัยอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งช่วยชีวิตโมรเดคัย และทำให้ฮามานต้องถึงกับคลุมศีรษะร้องไห้คร่ำครวญเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

Q1  คุณเห็นถึงการทรงช่วยกู้ของพระเจ้าที่มีต่อโมรเดคัยแบบที่ “ไม่ช้า และไม่สาย แต่ทันเวลาเสมอ” อย่างไรบ้าง? ลองเขียนออกมาเป็นข้อๆ
Q2  ถ้าคุณมีความสงสัยในการช่วยกู้ของพระเจ้า ขอให้พระธรรมเยเรมีย์ 29:11 ที่ว่า “พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า” หนุนใจคุณที่จะมีกำลังขึ้นในพระเจ้า

หลังจากการอดอาหาร (อธิษฐาน) 3 วัน 3 คืน พระนางเอสเธอร์ตัดสินใจเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งๆ ที่เสี่ยงกับการถูกประหารชีวิต แต่ทันทีที่กษัตริย์มองเห็นพระนางเอสเธอร์ พระคัมภีร์บอกกับเราว่า “พระนางก็เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์” (ข้อ 2) และทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีกษัตริย์อาหสุเอรัสมีความยินดีที่พระนางเอสเธอร์เข้าเฝ้า พร้อมตอบรับคำเชิญไปงานเลี้ยงพร้อมกับฮามาน

Q1  ดูเผินๆ เหมือนว่า พระนางเอสเธอร์ร้องทูลขอความโปรดปรานจากกษัตริย์อาหสุเอรัส (ข้อ 4, 8) แต่คุณคิดว่าภายในจิตใจของเธอ เธอกำลังคิดอะไรอยู่? (คิดถึงการอธิษฐานตลอด 3 วัน 3 คืน และ ดู สดุดี 19:14 ประกอบ)
Q2  อ่าน สดุดี 19:14 และใช้เวลาอธิษฐานตอบสนองส่วนตัวกับพระเจ้า

เมื่อโมรเดคัยทราบแผนการของฮามานที่มีต่อท่านและชนชาติอิสราเอล ท่านถึงกับฉีกเสื้อผ้า สวมผ้ากระสอบ และใส่ขี้เถ้า ร้องไห้คร่ำครวญ มีการไว้ทุกข์ครั้งใหญ่ท่ามกลางพวกยิว อดอาหาร (อธิษฐาน) และท่านได้แจ้งข่าวนี้กับเอสเธอร์ เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเอสเธอร์เองก็ดูเหมือนว่า ลำบากใจในเรื่องนี้เพราะเธอไม่ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสมา 30 วัน เพราะถ้าเข้าเฝ้าโดยไม่ถูกเรียก ผลคือ ถูกประหารชีวิต

Q1  คำพูดของโมรเดคัยที่ว่า ““อย่าคิดว่าเธออยู่ในราชสำนักจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่นๆ เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้” (ข้อ 13-14) ซึ่งเอสเธอร์ขอให้โมรเดคัยและคนยิวอื่นๆ อดอาหาร (อธิษฐาน) เผื่อเธอ 3 วัน 3 คืน แล้วเธอจะเข้าเฝ้าพระราชา ก่อนที่จะจบด้วยคำพูดว่า “ถ้าฉันจะพินาศ ฉันก็พินาศ” สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ทั้งคู่มีในพระเจ้าอย่างไร? (ดู ฮีบรู 11:1 ประกอบ)
Q2  พระธรรม 1 โครินธ์ 2:9 ที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” เป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ในการดำเนินชีวิตแห่งความเชื่อของคุณ?

4225/5081